-
หมวด: Slideshow
-
เผยแพร่เมื่อ: 18 เมษายน 2556
D-Chain เราห่วงใยสุขภาพคุณ
0063 สาขา เทสโก้ ธาตุพนม
เขียนโดย Super User-
ฮิต: 718
"แอสไพริน-ไอบูโปรเฟน" ผู้ป่วยไข้เลือดออก เสี่ยงเลือดออกในกระเพาะ
เขียนโดย Super User-
หมวด: Slideshow
-
เผยแพร่เมื่อ: 10 กรกฎาคม 2556
โรคไข้เลือดออกเกิดจากเชื้อไวรัส ไม่มียารักษาเฉพาะ แต่ใช้วิธีรักษาด้วยการประคับประคองอาการให้ร่างกายฟื้นตัว และหากปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด ร้อยละ 70 สามารถหายได้เอง
นายแพทย์ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าว ถึง โรคไข้เลือดออกว่า เกิดจากเชื้อไวรัส ไม่มียารักษาโดยเฉพาะ จะรักษาเพื่อประคับประคองอาการให้ร่างกายฟื้นตัว พ้นระยะอันตรายในช่วงสัปดาห์แรก ดังนั้นเมื่อผู้ป่วยมีไข้สูงต่อเนื่อง 2 วัน
กินยาหรือเช็ดตัวแล้วไข้ไม่ลด ให้ไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลเพื่อตรวจวินิจฉัย หากมีอาการรุนแรงแพทย์จะรับไว้รักษาในโรงพยาบาล หากไม่รุนแรงแพทย์อาจจะไม่ได้รับตัวนอนรักษาในโรงพยาบาล
เนื่องจากผู้ป่วยส่วนใหญ่ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ประมาณร้อยละ 70 จะหายได้เอง โดยแพทย์จะให้คำแนะนำวิธีการดูแลผู้ป่วยที่บ้าน และการสังเกตอาการผิดปกติที่ต้องรีบกลับมาพบแพทย์ทันทีได้แก่ ผู้ป่วยซึมลง อ่อนเพลียมาก ปวดท้อง กินอาหารและดื่มน้ำได้น้อย อาเจียน หรือพบว่ามีเลือดออกเช่น เลือดกำเดา เลือดออกตามไรฟัน ประจำเดือนมากผิดปกติ หรือถ่ายเป็นสีดำ ซึ่งมักเกิดในวันที่ 3 หรือวันที่ 4 หากมีอาการใดอาการหนึ่งที่กล่าวมา ถือว่าเป็นสัญญาณอันตราย ที่ผู้ป่วยจะเริ่มเข้าสู่ภาวะช็อค เนื่องจากมีเลือดออกในอวัยวะภายใน ซึ่งมักจะเกิดในระยะหลังไข้ลง หากไดัรับการรักษาช้าอาจเสียชีวิตได้ภายใน 24 ชั่วโมง ทั้งนี้หากหลังไข้ลดแล้ว ผู้ป่วยมีอาการยิ้มแย้มแจ่มใส พูดคุย กินอาหารได้มากขึ้น แสดงว่าอาการดีขึ้นเริ่มฟื้นตัว และจะหายเป็นปกติ
สำหรับการดูแลผู้ป่วยในระยะ 1-2 วันแรกที่มีไข้สูง ขอให้เช็ดตัวด้วยน้ำธรรมดา กินยาพาราเซตามอล ยาที่ห้ามกินเด็ดขาดคือแอสไพริน และไอบูโปรเฟน เพราะจะกัดกระเพาะอาหาร ทำให้เลือดออกง่ายขึ้น โดยให้ผู้ป่วยกินอาหารอ่อน เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก และห้ามกินน้ำหรือผลไม้ที่มีสีแดง เช่น น้ำแดง แตงโม เนื่องจากจะทำให้แยกอาการเลือดออกในกระเพาะและลำไส้ได้ยากขึ้น
ที่มา : หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ
System.String[]-
ฮิต: 946
"เฉาก๊วย" ตัวช่วยลดความดันโลหิต
เขียนโดย Super User-
หมวด: Slideshow
-
เผยแพร่เมื่อ: 10 กรกฎาคม 2556
ในตำรายาแผนจีนระบุว่า ใบสด หรือใบแห้งของต้น “เฉาก๊วย” จำนวนหนึ่งกำมือหรือกะพอประมาณตามต้องการ ใส่น้ำให้ท่วม ต้มในหม้อดินจนเดือดแล้วดื่มขณะอุ่น แบบจิบๆ ต่างน้ำชาเป็นประจำ จะทำให้โรคความดันโลหิตสูงค่อยๆ ลดลงและควบคุมไม่ให้สูงขึ้นอีกได้ และยังช่วยแก้อาการร้อนในกระหายน้ำอีกด้วย สามารถต้มดื่มเรื่อยๆ ได้ไม่มีอันตรายอะไร ชาวจีนนิยมชงเป็นน้ำชาดื่มมาแต่โบราณแล้ว
ใน ส่วนของการทำ “เฉาก๊วย” เพื่อ ผสมน้ำเชื่อมใส่น้ำแข็งรับประทานมีวิธีทำแบบง่ายๆ คือ ให้เอาต้น “เฉาก๊วย” ทั้งต้นชนิดแห้งมีขายทั่วไปตามร้านยาจีน กะจำนวนมากน้อยตามต้องการ ต้มกับน้ำจนเดือดและน้ำเป็นสีดำหรือสีน้ำตาล จากนั้นกรองเอาเฉพาะน้ำผสมกับแป้งมันและแป้งข้าวเหนียวเล็กน้อยพอเหมาะสมจะ ทำให้น้ำเป็นเจลลี่เหนียวหนึบไม่เละ นำเอาเจลลี่ “เฉาก๊วย” ไปหั่นเป็นชิ้นลูกเต๋า หรือหั่นเป็นเส้นยาวตามต้องการ ใส่น้ำเชื่อมและน้ำแข็งก้อนที่เตรียมไว้รับประทานอร่อยชื่นใจมาก สามารถทำจำหน่ายได้รับความนิยมจากผู้ซื้อรับประทานอย่างแพร่หลายโดยเฉพาะ ช่วงอากาศร้อนขายดีมาก
เฉาก๊วย หรือ MESONA CHINENSIS อยู่ ในตระกูลเดียวกับกะเพรา แมงลัก ยี่หร่า โหระพา สะระแหน่ คือ LAMIACEAE เป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก ลำต้นกลม เปราะและหักง่าย คล้ายสะระแหน่ กิ่งก้านแผ่กว้างคลุมหน้าดินยาวได้ 2-3 ฟุต ใบเป็นใบเดี่ยว ออกตรงกันข้าม รูปรีแกมรูปใบหอก ปลายแหลม โคนมน ขอบใบเป็นจักแบบฟันเลื่อยถี่ๆ ดอก ออกตามซอก ใบและปลายยอดเหมือนดอกกะเพรา ดอกเป็นสีขาว ดอกออกได้เรื่อยๆ ขยายพันธุ์ด้วยการปักชำกิ่ง
ที่มา : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
System.String[]-
ฮิต: 1825